3 พฤติกรรมเสี่ยงที่ทำให้ “ข้อมูลรั่ว”

By
VIRYA SOLUTIONS Security Team

🔐 3 พฤติกรรมเสี่ยงที่ทำให้ “ข้อมูลรั่ว”

และถ้าเกิดขึ้นแล้วควรรับมืออย่างไรให้ไม่เสียความเชื่อมั่น หลายครั้งเหตุ “ข้อมูลรั่ว” ไม่ได้เริ่มจากการโจมตีขั้นสูง แต่เกิดจากเรื่องเล็ก ๆ ที่เราคุ้นชิน เช่น รหัสผ่านเดิม ๆ ที่ใช้ซ้ำ ลิงก์ไฟล์ที่เปิดเป็นสาธารณะโดยไม่ตั้งใจ หรืออีเมลปลอมที่รีบเร่งให้กดลิงก์เดี๋ยวนั้น ความเสียหายที่ตามมาไม่ได้มีแค่ไฟล์หลุด แต่ยังสะเทือนความเชื่อมั่นของลูกค้า ทำให้โครงการสะดุด และอาจมีข้อพิจารณาด้านกฎหมายอย่าง PDPA เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย

 

บทความนี้ Virya Solution จึงอยากชวนคุณมอง พฤติกรรมเสี่ยง 3 ข้อที่เจอบ่อย พร้อมวิธีปรับง่าย ๆ และแผนรับมือแบบทีละช่วงเวลา หากวันหนึ่งเกิดเหตุขึ้นจริงครับ 😊


💡 ทำไมเรื่องนี้สำคัญกับธุรกิจ

ลองนึกภาพตามดูนะครับ ทำไมเรื่องนี้ถึงสำคัญกับธุรกิจ?

ลองนึกภาพตามนะครับ: ฝ่ายการตลาดแชร์แผนกลยุทธ์สำคัญผ่าน Google Docs แบบสาธารณะ เพียงไม่กี่วัน แผนนั้นอาจรั่วไหลไปถึงมือคู่แข่ง ทำให้คุณเสียเปรียบและต้องกลับมาเริ่มต้นใหม่ โครงการที่กำลังเจรจาอาจต้องเริ่มใหม่ทั้งหมด เรื่องเล็ก ๆ ในวันนั้นกลายเป็นต้นทุนที่ซ่อนอยู่ ทั้งเวลาทีมที่ต้องกู้คืนและตรวจสอบ รวมถึงกระทบด้านชื่อเสียงของแบรนด์หรือบริษัท เมื่อเป็นเช่นนี้ การลงทุนเวลาเพียงเล็กน้อยเพื่อปิดจุดเสี่ยงจึงคุ้มค่าเสมอนั่นเองครับ


🧭 พฤติกรรมเสี่ยงข้อที่ 1: รหัสผ่านซ้ำ และยังไม่เปิด MFA

ถ้าบริการหนึ่งถูกเปิดเผยรหัสผ่าน ผู้ไม่หวังดีมักลองชุดรหัสเดิมกับอีเมลหรือระบบงานบริษัทต่อทันที ส่งผลให้ผู้ไม่หวังดีสามารถเข้าถึงข้อมูลลูกค้า หรือ ธุรกิจของเราได้ และอาจนำไปสู่การเปลี่ยนรหัสผ่าน ที่อาจทำให้คุณสูญเสียช่องทางการตลาด เช่น เพจ Facebook ,Shopee เป็นต้น 

วิธีการป้องกัน : เราลดความเสี่ยงนี้ได้รวดเร็วมากเพียงบังคับใช้ Multi-Factor Authentication (MFA) กับระบบหลักให้ครบ ใช้ตัวจัดการรหัสผ่านระดับองค์กร และเปลี่ยนจากรหัสสั้น ๆ ให้เป็น วลีรหัส” (passphrase) ที่ยาวและจำง่าย เริ่มดำเนินการจากบัญชีผู้บริหารและแอดมินก่อน จะได้ปิดประตูสำคัญให้เร็วที่สุดก่อนครับ 🔐


🗂️ พฤติกรรมเสี่ยงข้อที่ 2: ลิงก์ไฟล์สาธารณะ / สิทธิ์ที่ตั้งผิด

การทำงานร่วมกันบนคลาวด์สะดวกก็จริง แต่ตัวเลือก “Anyone with the link” บน OneDrive/SharePoint/Google Drive หรือบัคเก็ตคลาวด์ที่เปิดเป็นสาธารณะ อาจทำให้คนที่ไม่เกี่ยวข้อง รวมไปถึงบอทที่สแกนเก็บข้อมูลสามารถเข้าถึงได้โดยไม่ตั้งใจ 

วิธีการป้องกัน : ป้องกันผ่านการตั้งค่า ไม่อนุญาตลิงก์สาธารณะเป็นค่าเริ่มต้นทั้งองค์กร สแกนลิงก์เก่าที่ยังเปิดอยู่ กำหนด Owner ของโฟลเดอร์ให้ชัด และแยกงาน Internal กับ External ให้เป็นระบบ ถ้าข้อมูลอ่อนไหว เช่น เอกสารที่มีเลขบัตรหรือใบแจ้งหนี้ ลองเปิดใช้ DLP พื้นฐานเพื่อเตือนก่อนแชร์ออกนอกโดเมนก็ช่วยได้มากเลยครับ 🔎


✉️ พฤติกรรมเสี่ยงข้อที่ 3: ฟิชชิ่ง + เครื่องยังไม่อัปเดต

ผู้ไม่หวังดีอาจส่งอีเมลที่เร่งให้รีเซ็ตรหัสผ่านหรือตรวจเอกสารด่วน โดยไฟล์เหล่านี้จะดู ปกติ” แต่จะแฝงมัลแวร์ดึงข้อมูลจากเครื่อง และอาจทำให้ข้อมูลในคอมพิวเตอร์ของคุณสูญหาย และเกิดความเสียหายต่อธุรกิจต่อไป 

วิธีการป้องกัน : ป้องกันผ่านการตั้งค่า ไม่อนุญาตลิงก์สาธารณะเป็นค่าเริ่มต้นทั้งองค์กร สแกนลิงก์เก่าที่ยังเปิดอยู่ กำหนด Owner ของโฟลเดอร์ให้ชัด และแยกงาน Internal กับ External ให้เป็นระบบ ถ้าข้อมูลอ่อนไหว เช่น เอกสารที่มีเลขบัตรหรือใบแจ้งหนี้ ลองเปิดใช้ DLP พื้นฐานเพื่อเตือนก่อนแชร์ออกนอกโดเมนก็ช่วยได้มากเลยครับ วิธีลดความเสี่ยงที่ได้ผลคือ เปิดใช้ Email Security/Anti-Phishing พร้อมกล่องทดสอบไฟล์แนบ (sandbox) ติดตั้ง EDR/NGAV ให้ครบทุกเครื่อง และตั้งให้อัปเดตแพตช์อัตโนมัติ เพิ่มปุ่ม รายงานอีเมลน่าสงสัยไว้ในเมลไคลเอนต์ เพื่อให้ทุกคนส่งสัญญาณเตือนได้ง่ายขึ้น 📣


📝 เช็กตัวเองใน 15 นาที (ทำได้ทันที)

อ่านถึงตรงนี้ ผมอยากจะขอเวลาเวลา 15 นาทีเพื่อ ปรับฐานให้ปลอดภัยขึ้น โดยการเปิด MFA ให้ครบ ปิดลิงก์สาธารณะเป็นค่าเริ่มต้นพร้อมล้างลิงก์เก่า ติดตั้ง EDR/Antivirus และเปิดอัปเดตอัตโนมัติ ตรวจสอบว่าสำรองข้อมูลตามหลัก 3-2-1 และมีชุดที่เป็น Immutable/air-gapped สำหรับข้อมูลวิกฤต สุดท้าย ตั้งช่องทางรายงานเหตุผิดปกติที่ทุกคนเข้าถึงง่าย เช่น LINE OA ขององค์กรให้พร้อมใช้งานเสมอ 


🚑 ถ้า “ข้อมูลรั่วแล้ว” ควรทำอย่างไร (ทีละช่วงเวลา)

ผมจะขอแบ่งออกเป็นตามช่วงเวลานับจากที่ข้อมูลรั่ว ดังนี้ 

ภายใน 0–4 ชั่วโมง : หยุดความเสียหายให้เร็วที่สุด
เริ่มจากกักกันเหตุการณ์ โดยการปิดลิงก์สาธารณะ ถอนสิทธิ์ที่ตั้งผิด แยกอุปกรณ์ที่ต้องสงสัยออกจากเครือข่าย จากนั้นปิดช่องโหว่เร่งด่วน เช่น บังคับเปลี่ยนรหัสผ่านและเปิด MFA ที่ยังไม่เปิด พร้อมกันนี้เก็บหลักฐานให้ครบถ้วน ทั้งเวลาเกิดเหตุ บัญชีที่เกี่ยวข้อง ไฟล์และไอพี (หลีกเลี่ยงการลบข้อมูลหรือรีเซ็ตระบบแบบไม่จำเป็น เพราะอาจทำให้สืบหาต้นเหตุไม่ได้) 

ภายใน 24 ชั่วโมง: มองเห็นภาพรวมและสื่อสารภายใน
ประเมินขอบเขตผลกระทบ ว่าข้อมูลประเภทใดเกี่ยวข้อง ปริมาณเท่าไร ใครเป็นผู้มีส่วนได้เสีย จากนั้นแจ้งผู้บริหาร หากมีข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวข้อง ควรปรึกษาที่ปรึกษากฎหมายเพื่อประเมินภาระตาม PDPA และแนวทางการแจ้งต่อหน่วยงาน/เจ้าของข้อมูล 

ภายใน 48–72 ชั่วโมง: กู้คืนอย่างปลอดภัยและสื่อสารอย่างโปร่งใส
กู้คืนระบบจากพื้นที่สำรองที่ปลอดภัย (ผ่านการตรวจมัลแวร์) ก่อนกลับมาออนไลน์ และสื่อสารกับลูกค้าหรือคู่ค้าอย่างตรงไปตรงมาโดยยึดข้อเท็จจริง พร้อมคำแนะนำลดผลกระทบ จากนั้นทำ Root Cause Analysis เพื่อสรุปสาเหตุและวางมาตรการถาวร ทั้งนโยบาย กระบวนการ และเทคโนโลยี เพื่อไม่ให้เหตุเดิมเกิดซ้ำ 🔄

ℹ️ บทความนี้เป็นแนวทางเชิงปฏิบัติทั่วไป ไม่ใช่คำปรึกษาทางกฎหมาย ควรพิจารณาตามบริบทองค์กรของคุณ


🔄 ทำอย่างไรให้ “ไม่ต้องเจ็บซ้ำ”

การป้องกันยั่งยืนมักเริ่มจาก 3 องค์ประกอบ 

1.คน อบรมฟิชชิ่งแบบสั้นเป็นประจำ พร้อมกิจกรรมจำลองเพื่อให้เห็นของจริงแล้วรู้เท่าทัน  

2.กระบวนการมี Playbook จัดการเหตุ และทดสอบกู้คืนข้อมูลตามรอบ เพื่อให้มั่นใจว่ากลับมาได้จริง  

3.เทคโนโลยีตั้ง MFA และตัวจัดการรหัสผ่านให้เป็นมาตรฐาน ใช้ EDR/NGAV ครอบคลุมทุกเครื่อง เปิดใช้ Email Security ที่กรองลิงก์/ไฟล์แนบเสี่ยง เปิด DLP พื้นฐาน และกำหนดให้ทบทวนสิทธิ์แชร์ไฟล์รายเดือน การเก็บวินัยเล็ก ๆ เหล่านี้ จะค่อย ๆ เปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรให้ปลอดภัยขึ้นโดยไม่หนักทีมงานเกินไปครับ  🌱


🚀 อยากเริ่มแบบ “ไม่ยุ่งยาก”? เลือกทางที่เหมาะตอนนี้

ถ้าต้องการเห็นภาพสถานะจริงและ Quick Wins ภายในเวลาอันสั้น ลอง Security Health Check 90 นาที เราจะสรุปเป็น Executive Brief 2–3 หน้า พร้อม Risk Heatmap และ 10 เรื่องที่ทำได้ภายใน 1–2 สัปดาห์

เริ่มผ่าน LINE OA ได้เลยครับ

Related blogs